เก็บตกหลังเกม ! 5 เรื่องต้องรู้ ตราหมี เชือด ราชัน คว้าถ้วย ยูฟา ซูเปอร์คัพ

ข่าวกีฬา

ยูฟา ซูเปอร์คัพ 2018 กลายเป็นของแชมป์ยุโรปถ้วยเล็กอย่าง แอตเลติโก มาดริด เมื่อพวกเขาสามารถตีเสมอท้ายเกมในเวลาปกติ

ก่อนที่จะไปเอาชนะgclubcasinoonline.net เรอัล มาดริด ในช่วงต่อเวลาพิเศษด้วยสกอร์ 4-2 เรียกขวัญกำลังใจก่อนเปิด ลาลีก้า ฤดูกาลใหม่ได้เป็นอย่างดี

ไปดูกันว่าในเกมที่ยิงกันไป 6 ประตูนี้ มีเรื่องน่าสนใจอะไรเกิดขึ้นบ้าง


5. ประตูที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ยูฟา ซูเปอร์คัพ
ซูเปอร์คัพ เป็นการชิงชัยระหว่างยิดทีมของยุโรปทั้งถ้วยเล็กและถ้วยใหญ่ และเนื่องจาก 1 ปีมีหน ทำให้การทำลายสถิติซักอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ คอสต้า ก็ทำสำเร็จในเกมคืนที่ผ่านมา

คอสต้า ส่ง แอตเลติโก มาดริด ขึ้นนำในวืนาทีที่ 51 จากจังหวะเปิดบอลยาวของ ดิเอโก้ โกดิน จากหน้าเขตโทษของตัวเอง คอสต้า ขึ้นโหม่งได้ก่อน รามอส

ก่อนพลิกหนีกัปตันทีม เรอัล มาดริด ดื้อ ๆ จากนั้นโขกชลต่ออีก 1 จังหวะเพื่อหนีการประกบของ วาราน ก่อนที่จะซัดมุมแคบผ่าน นาบาส ที่ออกมาปิดมุมอย่างเหนือชั้น

4. จอมตุกติกปะทะจอมตุกติก
ถ้า เซร์คิโอ รามอส ได้ชื่อว่าเป็นกองหลังที่ชอบเล่นตุกติกที่สุดในยุโรปตอนนี้ ดิเอโก้ คอสต้า ก็คงเป็นผู้ท้าชิงในตำแหน่งกองหน้าที่ตุกติกที่สุดเหมือนกัน

ทั้งคู่ปะทะกันตั้งแต่นาทีแรก เมื่อ โกดิน วางบอลยาวให้ คอสต้า หน้าเขตโทษ และเป็นศูนย์หน้า แอตเลติโก ที่คว้าชัยได้ก่อนในยกแรกด้วยการพลิกหนี รามอส ไปดื้อ ๆ ก่อนจะซัลโวประตุได้สำเร็จ กลายเป็นประตูที่เร็วที่สุดในรายการนี้

ยกต่อมา รามอส ขึ้นเทคตัวโขกกลางอากาศ เหนือ คอสต้า ซึ่ง รามอส ชนะใส ๆ อยู่แล้ว แต่ยังไม่วายเอาศอกฟันใส่หน้า คอสต้า เต็ม ๆ ซึ่งโชคดีล้วน ๆ ที่ไม่มี VAR ในเกมนี้ เพราะไม่งั้นมีสิทธิ์ใบแดงตั้งแต่ 8 นาทีแรกแน่นอน

คอสต้า กับ รามอส ตามไปปะทะกันอีกหลายต่อหลายครั้งทั่วสนาม ซึ่งยังดีที่เกมไม่ได้สำคัญอะไรมาก ถ้วยใบนี้ก็ไม่ต่างกับการกระชับมิตรเกมนึง

เพราะไม่งั้นเราอาจได้เห็นแฟนเซอร์วิสที่แรงกว่านี้แน่นอน และเมื่อพิจารณาจากการที่ รามอส มีส่วนร่วมกับการเสียประตูที่ 3 ที่โดน คอสต้า ฉกบอลไปได้ ก็ทำให้ศูนยืหน้าจอมตุกติกเป็นฝ่ายชนะไปในการดวลครั้งนี้

3. เลอมาร์ เปิดตัวน่าสนใจ
โตมาส์ เลอมาร์ ได้โอกาสลงเล่นให้ แอตเลติโก มาดริด เป็นครั้งแรกในเกมทางการของ ยูฟา และปีกชาวฝรั่งเศสก็ทำหน้าทีไ่ด้ดีเกินคาดทีเดียว

เลอมาร์ กลายเป็นนักเตะจอมขยันที่สุดคนนึงของ แอตเลติโก มาดริด เมื่อเขาคอยวิ่งไปทั่วสนาม ตั้งแต่การตัดบอลหน้าประตูตัวเอง ไปจนถึงการพาบอลลุยจี้เข้าเขตโทษของ เรอัล มาดริด โดยรวมแล้วถือว่าทำหน้าที่ไม่มีตกบกพร่องทีเดียว

ข้อเสียอย่างเดียวก็คงเป็นการมีส่วนร่วมกับเกมรุกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ โมนาโก แต่เมื่อพิจารณาจากแผนการเล่นที่เกมรับของ แอตเลติโก มาดริด แล้ว มันก็ดูเข้าท่าอยู่ไม่น้อยที่ทำให้ เลอมาร์ กลายเป็นจอมตัดบอลไปได้

2. เบล และ เบนเซมา ยังมีดีพอ แต่ อเซนซิโอ กับ อิสโก้ ยังต้องปรับปรุง
แม้จะไม่มีหมายเลข 1 ของทีมอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้ แต่ เบล และ เบนเซมา ก็ทำให้เห็นว่าพวกเขายังพอมีดีอยู่บ้าง

2 ศูนย์หน้าของ เรอัล มาดริด กดดันแนวรับ แอตเลติโก มาดริด ได้ค่อนข้างต่อเนื่องในท้ายครึ่งแรก ลากยาวไปจนถึงครึ่งหลัง

โดยเฉพาะปีกทีมชาติ เวลส์ ที่มีสปีดทีน่ากลัว และการบังบอลที่ยอดเยีย่มจนเรียกฟาวล์ได้บ่อย ในขณะที่ เบนเซมา ก็ทำได้ดีในการหาช่องวิ่งปั่น่วนแนรับ การฉีกหนีตัวประกบก็ทำได้เยี่ยม อย่างที่เราได้เห็นในประตูตีเสมอ 1-1 ของทีม

กลับกัน ดาวรุ่ง 2 คนที่เป็นตัวความหวังของ เรอัล มาดริด ในยุคใหม่กลับโชว์ฟอร์มได้ไม่น่าประทับใจนัก อิสโก้ เงียบเอามาก ๆ เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ทั้ง 2 คน หรือ มาร์เซโล

ในขณะที่ อเซนวิโอ ได้โอกาสบ่อยที่สุดคนนึงในทีม แต่กลับทำได้ไม่ดีพอ 2 หน แถมยังเล่นหลายจังหวะเกินไปจนพลาดโอกาสทองอีก ครั้งสองครั้ง นอกจากนี้ยังเสียการครองบอลบ่อยมากอีกด้วย

เรอัล มาดริด ยังพอมีเวลาที่จะปรับปรุงตรงจุดนี้ อย่างน้อยปล่อยดาวรุ่งออกไปเก็บประสบการณ์ซัก 2-3 คน แล้วคว้าตัวท็อปในเกมรุกมาซักคน 2 คนก็น่าจะดีกับทีมมากกว่านี้

1. ยังไม่มีใครแทน คริสเตียโน ได้
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของการขาด คริสเตียโน โรนัลโด้ ไปไม่ใช่การถล่มประตู แต่เป็นการปลุกพลังของทีมต่างหาก ในช่วงเวลาที่นักเตะในทีมกำลังหมดแรง ภาพที่คุ้นเคยของแฟนบอลมาดริดอย่างการปรบมือกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมของ คริสเตียโน โรนัลโด้ นั่นไม่มีให้เห็นอีกแล้วในเกมนี้ หน้าที่ดังกล่าวไหลไปอยู่บนบ่าของ รามอส เพียงคนเดียว ซึ่งก็ยังทำได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าตัวมีส่วนกับการเสียประตูขึ้นนำ และด้วยภาพลักษณ์ที่ดุดัน ทำให้ความรู้สึกที่เพื่อนร่วมทีมได้รับมันจะต่างจากความเป็นไอดอลของ คริสเตียโน พอสมควร